
| รหัสสินค้า | 050094 |
| หมวดหมู่ | Puritan Pride Products |
| ราคาปกติ | |
| ลดเหลือ | 470.00 บาท |
| น้ำหนัก | 60 กรัม |
| สถานะสินค้า | พร้อมส่ง |
| สภาพ | สินค้าใหม่ |
| ลงสินค้า | 8 ส.ค. 2560 |
| อัพเดทล่าสุด | 30 พ.ย. 2560 |
| คงเหลือ | ไม่จำกัด |
| จำนวน | 60 Softgel |

ภาวะโคเลสเตอรอลสูง เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ที่คร่าชีวิตประชากรทั่วโลกและคนไทยเพิ่มมากขึ้น ล่าสุดพบว่าในแต่ละปีคนไทยประมาณ 60,000-100,000 คน เสียชีวิตอย่างกะทันหันจากอาการหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน และคนไทยอีกกว่า 39 ล้านคน กำลังเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจในขณะนี้ ทำให้เสียค่ารักษาพยาบาล สูญเสียความสามารถในการทำงาน และร่างกายอาจเกิดความเสื่อมโทรมไม่สามารถฟื้นคืนกลับมาได้เหมือนเดิม (ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข)
สาเหตุหลักของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ
โรคหลอดเลือดหัวใจ มีสาเหตุหลัก จากการมีระดับไขมันโคเลสเตอรอลในเลือดสูงผิดปกติ จนเกิดการสะสมและอุดตันที่ผนังหลอดเลือด ซึ่งแท้จริงแล้ว “ตับ” เป็นอวัยวะหลักในการสร้างไขมันโคเลสเตอรอลถึง 80% ที่เหลืออีก 20% เกิดจากการรับประทานอาหาร แต่ด้วยวัยที่เพิ่มมากขึ้น และพฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่มีการควบคุมไม่ดีพอ จึงส่งผลให้เกิดการเสียสมดุลของระดับไขมันโคเลสเตอรอลในร่างกาย ปัจจุบันพบว่าผู้ชายและผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป มีโอกาสเสี่ยงที่จะพบระดับไขมันโคเลสเตอรอลในเลือดสูงมากกว่า 200 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ซึ่งการตรวจวัดระดับไขมันโคเลสเตอรอลในเลือดเป็นประจำทุกปี จะช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้ดีที่สุด (ข้อมูลจาก The National Center for Health Statistics and the American Heart Association)
ปัจจุบันแนวทางการดูแลสุขภาพของผู้ที่มีปัญหาระดับไขมันโคเลสเตอรอลสูง ส่วนใหญ่จะเลือกใช้ยาเป็นหลัก ซึ่งอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงต่อสุขภาพตามมา เช่น เกิดอาการแน่นท้อง คลื่นไส้ ท้องเสีย ระยะยาวอาจทำให้ตับอักเสบ และเนื่องจากยาลดไขมันโคเลสเตอรอลบางชนิดจะมีผลไปลดการสร้างเอนไซม์ที่สำคัญต่อร่างกาย คือ โคเอนไซม์ คิวเทน (Coenzyme Q10) ส่งผลให้เกิดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ แขนขาอ่อนแรง และภาวะกล้ามเนื้อหัวใจเต้นผิดปกติได้
เมื่อ 20 ปีที่ผ่านมาเมื่อเราไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพ แล้วพบว่าไขมันในเลือดของเราสูงขึ้นมากเกินกว่าค่าปกติที่ควรจะมีแล้วนั้น แพทย์มักจะแนะนำให้รับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ แต่ปัจจุบันเมื่อความเข้าใจในเรื่องเกี่ยวกับไขมันมีมากขึ้น จึงทำให้ทราบว่าเราต้องเน้นถึงชนิดของไขมันในอาหารเป็นหลัก หากมีไขมันที่ไม่ดีระดับสูง เช่น ไขมันโคเลสเตอรอล หรือ ไตรกลีเซอร์ไรด์มากเกินไป ก็จะทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันได้ง่ายขึ้น หากมีไขมันที่ดีระดับสูง เช่น ไขมัน เอช ดี แอล โคเลสเตอรอล ก็จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้ ดังนั้นเราจึงควรจะต้องเข้าใจในธรรมชาติของไขมันแต่ละชนิดก่อนเป็นสำคัญ เพื่อทำให้สามารถช่วยป้องกันโรคต่างๆ ได้ดีขึ้น
ไขมันสูงเป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน
ไขมันในกระแสเลือด อาจแบ่งได้ง่ายๆ เป็น 2 ชนิดด้วยกันคือ
1. โคเลสเตอรอลรวม (Total Cholesterol)ซึ่งเป็นผลรวมของโคเลสเตอรอล 2 ชนิด คือ
1.1แอล-ดี-แอล (LDL Cholesterol: Low density lipoprotein)เป็นส่วนสำคัญของโคเลสเตอรอลรวม ซึ่งโคเลสเตอรอลในร่างกายนั้น ประมาณ 90% สร้างที่ตับ ที่เหลือประมาณ 10%ได้รับจากอาหารที่รับประทานเข้าไป ซึ่งมีมากในอาหาร เช่น ไข่แดง เนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ และอาหารทะเลชนิดต่างๆ โดยที่ไขมันโคเลสเตอรอลเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดหลอดเลือดแข็ง
1.2 เอช-ดี-แอล (HDL-C: High density lipoprotein)เป็นไขมันที่มีความหนาแน่นสูง มีหน้าที่จับไขมันโคเลสเตอรอลที่อยู่ในกระแสเลือดไปทำลายที่ตับ ถ้ามีระดับ HDL-C ในเลือดสูง จะมีผลทำให้โอกาสเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบและโรคหลอดเลือดเสื่อมต่างๆ ลดลง ระดับ HDL-C จะเพิ่มได้ด้วยการออกกำลังกาย หรือจากการรับประทานสารอาหารธรรมชาติบางชนิด เช่นสารโพลีโคซานอล และน้ำมันปลา โอเมก้า-3
2. ไตรกลีเซอร์ไรด์ (Triglyceride)ไขมันนี้อาจเกิดจากการรับประทานอาหารเป็นส่วนใหญ่ประมาณ 90% และอีกส่วนเกิดจากการสังเคราะห์ในร่างกายจากน้ำตาลและแป้งประมาณ 10% และ ในคนอ้วนระดับไตรกลีเซอร์ไรด์มักจะสูง แต่ยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าไขมันตัวนี้ เป็นต้นเหตุของโรคหลอดเลือดหัวใจ ถ้าพบว่ามีระดับสูงมากหรือสูงในคนที่มีโคเลสเตอรอลสูงอยู่แล้วจะเป็นอันตรายได้
โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน จากการมีไขมันในเลือดสูง
โรคหลอดเลือดไปเลี้ยงหัวใจตีบเป็นสาเหตุการตายอันดับต้นๆของประเทศ ไขมันในโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงข้อหนึ่งของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ การเปลี่ยนแปลงอาหารและการออกกำลังกายสามารถลดระดับไขมันในเลือดได้ แต่เนื่องจากไขมันโคเลสเตอรอลส่วนใหญ่ในร่างกายถูกสร้างขึ้นที่ตับถึง 90% ดังนั้นการควบคุมให้ตับมีการสร้างไขมันโคเลสเตอรอลให้น้อยลง หรือให้ตับมีการเร่งการทำลายไขมันโคเลสเตอรอลให้มากขึ้น ก็จะช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดหลอดเลือดหัวใจตีบได้ การที่มีไขมันโคเลสเตอรอลสูงในกระแสเลือด มีโอกาสที่ไขมันจะเกาะติดผนังหลอดเลือดแดง ที่เรียกว่า plaque มากขึ้น ส่งผลให้หลอดเลือดตีบแคบลง ถ้าหากเราปล่อยทิ้งไว้ให้การตีบแคบของหลอดเลือดมีมากขึ้นเรื่อยๆ ก็มีโอกาสทำให้หลอดเลือดแดงตีบแคบจนเลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่พอ จึงเกิดอาการ เช่น เจ็บหน้าอกจากหัวใจขาดเลือด หรืออัมพฤกษ์ นอกจากนั้นคราบไขมันโคเลสเตอรอลอาจจะหลุดลอกจากผนังหลอดเลือด ทำให้เกิดอาการหัวใจขาดเลือดอย่างเฉียบพลันได้เช่นกัน
การควบคุมระดับไขมันโคเลสเตอรอลให้ลดลง
1. การควบคุมอาหาร
• หลีกเลี่ยงอาหารพวกไข่แดง เครื่องในสัตว์ เนื้อสัตว์ส่วนที่ติดมันทุกชนิด สมองสัตว์ อาหารทะเลบางชนิด เช่น หอยนางรม ปลาหมึก
• หลีกเลี่ยงอาหารที่ปรุงด้วยน้ำมัน หากเป็นอาหารประเภททอด เจียว ควรใช้น้ำมันพืชแทนน้ำมันสัตว์ เช่น เนย หรือ น้ำมันหมู
• หลีกเลี่ยงน้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง เช่น น้ำมันมะพร้าว กะทิ
• ควรดื่มนมพร่องมันเนยแทนนมที่มีไขมันเต็มส่วน
• พยายามเปลี่ยนแปลงการปรุงอาหารเป็น นึ่ง ต้ม ย่าง อบ แทนการทอดหรือผัด
• พยายามลดน้ำหนักตัวในกรณีที่มีน้ำหนักเกิน
• ควรเพิ่มอาหารพวกผักใบต่างๆ และผลไม้บางชนิดที่มีกากใย เช่น ผักคะน้า ผักกาด ฝรั่ง ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมไขมันน้อยลง
2. การออกกำลังกาย จะทำให้ระดับไขมันแอล ดี แอล โคเลสเตอรอลในเลือดลดลง ขณะเดียวกันระดับไขมันเอช ดี แอล โคเลสเตอรอลในเลือดจะสูงขึ้น ซึ่งจะมีผลทำให้หลอดเลือดแดงเสื่อมช้าลงและป้องกันการอุดตันอย่างเฉียบพลันได้ด้วย
3. การใช้ยา หรือ สารอาหารจากธรรมชาติ ที่มีส่วนช่วยลดระดับไขมันในเลือด
สารอาหารที่มีส่วนช่วยลดไขมันโคเลสเตอรอลในเลือด ป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ
1. สารสกัดโพลีโคซานอล (Policosanol)
สารสกัดจากธรรมชาติกลุ่มโพลีโคซานอล (Policosanol) ที่พบเฉพาะในไขเปลือกอ้อย
(Saccharum officinarum, L.)อุดมไปด้วยคุณค่าบริสุทธิ์ของสารอาหารจากธรรมชาติ และมีโครงสร้างคล้ายยาลดไขมันในเลือด กลุ่ม Statin
จากการทำการศึกษาวิจัยทางการแพทย์มากกว่า 60 การวิจัย ในผู้ป่วยที่มีไขมันโคเลสเตอรอลสูงมากกว่า 3,000 คนทั่วโลก จนกระทั่งมีการตีพิมพ์ผลการวิจัยลงในวารสารทางการแพทย์ American Heart Journal ปี 2002ถึงคุณประโยชน์ของสารสกัดโพลีโคซานอล (Policosanol) ในการลดระดับไขมันโคเลสเตอรอลชนิดรวม และไขมันโคเลสเตอรอลชนิดร้าย (LDL-Cholesterol) โดยการกระตุ้นให้ตับมีการทำลายหรือเผาผลาญไขมันโคเลสเตอรอลในเลือดได้ดีขึ้น และช่วยบำรุงตับให้สร้างไขมันโคเลสเตอรอลชนิดดี (HDL-Cholesterol) ซึ่งมีหน้าที่นำพาไขมันที่สะสมและอุดตันตามผนังหลอดเลือดกลับไปทำลายที่ตับ และ ช่วยลดภาวะการอุดตันของเกล็ดเลือดได้ถึง 50% ป้องกันภาวะความหนาตัวของผนังหลอดเลือด และฟื้นฟูสมรรถภาพการทำงานของหัวใจและตับจึงช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันได้
ขนาดรับประทานที่แนะนำ
1. สำหรับผู้ที่มีไขมันโคเลสเตอรอลในเลือดสูงประมาณ200-239 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
ควรรับประทานวันละ 5 มิลลิกรัม หลังอาหารเย็น หรือก่อนนอน
2. สำหรับผู้ที่มีไขมันโคเลสเตอรอลในเลือดสูงประมาณ240-299 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
ควรรับประทานวันละ 10-20 มิลลิกรัม หลังอาหารเย็น หรือก่อนนอน
2. เลซิติน (Lecithin)
เลซิติน มีส่วนช่วยให้ไขมันที่รับประทานเข้าไปแตกตัวเป็นอนุภาคเล็กๆ เนื่องจากเลซิตินมีหน้าที่เป็นตัวทำละลายไขมันในกระแสเลือด ดังนั้นเมื่อเลซิตินผ่านไปในกระแสเลือด จึงช่วยละลายไขมันที่จับตามผนังหลอดเลือด มีผลในการควบคุมระดับโคเลสเตอรอลในเลือดและเพิ่มการไหลเวียนเลือดให้ดีขึ้น ช่วยป้องกันการอุดตันของเส้นเลือด จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ช่วยเสริมสร้างการทำงานของตับในการเร่งการเผาผลาญไขมัน ทำให้ตับทำงานมีประสิทธิภาพดีขึ้นจากหลักฐานทางวิชาการพบว่า เลซิตินช่วยบำรุงตับ ป้องกันโรคตับแข็งและลดการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี ซึ่งสามารถพบได้ในผู้ที่มีภาวะไขมันโคเลสเตอรอลสูง
ขนาดรับประทานที่แนะนำ
1. สำหรับลดไขมันโคเลสเตอรอลในเลือดสูง ไม่เกิน 200 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ควรรับประทานวันละ 3,600-7,200 มิลลิกรัม
2. สำหรับการบำรุงตับ ป้องกันโรคตับแข็ง ควรรับประทาน วันละ 1,200 -3,600 มิลลิกรัม
3. สำหรับการบำรุงสมอง ควรรับประทาน วันละ 1,200 -3,600 มิลลิกรัม
3. น้ำมันกระเทียม (Garlic oil)
ปัจจุบันทั่วโลกให้ความสนใจการรักษาแบบผสมผสาน หรือการแพทย์ทางเลือก ซึ่งมีหลายวิธีที่นำมาใช้กันอย่างกว้างขวาง หนึ่งในนั้น คือ การใช้สมุนไพรจากธรรมชาติมารักษา จากจารึกในอดีตพบว่า กระเทียม (Allium Sativum) จัดเป็นพืชสมุนไพรเก่าแก่ถูกนำมาใช้เป็นยารักษาโรค การค้นคว้าและวิจัยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับสมุนไพรใกล้ตัวอย่างกระเทียม พบว่ากระเทียมเป็นเสมือนยารักษาโรคเกี่ยวกับหัวใจ โดยช่วยลดระดับไขมันในกระแสเลือด ทั้งไขมันโคเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์สำหรับผู้ที่มีระดับไขมันยังสูงไม่มาก จะสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้
ขนาดรับประทานที่แนะนำ
ควรรับประทานวันละ 2000-5000 มิลกรัม
คำเตือน:


Policosanol supports general wellness.** Adults can take one softgel daily with a meal.
No Artificial Flavor or Sweetener, No Preservatives, No Sugar, No Starch, No Milk, No Lactose, No Gluten, No Wheat, No Yeast, No Fish. Sodium Free.
Supplement Facts |
|
| Serving Size 1 Softgel | |
| Amount Per Serving | % Daily Value |
| Policosanol | 20 mg ** |
| (from rice wax) (Oryza sp.) | |
| **Daily Value not established. | |
เอกสารอ้างอิง
1. Mas R et al. Effect of policosanol in patients with type II hypercholesterolemia and additional coronary risk factors. Clinical pharmacology & therapeutics 1999;65(4); 439-447
2. Pons P et al. Effects of successive dose increases of policosanol on the lipid profile of patients with type II hypercholesterolemia and tolerability to treatment. Int J Clin Pharm Res 1994;XIV(1);27-33
3. Zardoya R et al. Effects of policosanol on hypercholesterolemic patients with abnormal serum biochemical indicators of hepatic function. Current therapeutic research 1996;57(7);568-577
4. Mark J. Policosanol: A New Treatment for Cardiovascular Disease? Alternative Medicine Review 2002; 7(3) ;203-217
5. Medical Progress CME, February 2007
6. Murray, Michael T., Encyclopedia of Nutritional Supplement, 1996 PP. 137-141
7. National Research Council (U.S.) Committee on Diet and Health; Implications for reducing chronic disease Risk., 1989, pp. 216-217
8. Effect of dietary polynylphosphatidylcholine of metabolism of cholesterol and triglycerides in hypertriglyceridemic patients, The Am. J. of Clinical Nutrition 43: January 1986, pp 101
9. Tattelman E. Health effect of garlic. American Family Physician. 2005, Vol. 72; No. 1. 103-6.
10. AdAM j Adler and Bruce J Holub Effect of garlic and fish oil supplementation on serum lipid and lipoprotein concentrations in hypercholesterolemic men American Journal of Clinical Nutrition Vol. 65(2) Page 445-50, Feb 1997

ข้อมูลที่ลูกค้าต้องเตรียมสำหรับแจ้งโอนเงิน
ลูกค้าสามารถแจ้งการโอนเงินได้หลายช่องทางดังนี้
1. แจ้งผ่านหน้าเวปไซด์ โดยกดที่ " แจ้งชำระเงิน" หรือที่ปุ่มเมนู "แจ้งชำระเงิน"
2. โทรแจ้งหรือส่ง SMS มาที่เบอร์ 083-092-7999 (หนึ่ง)
3. แจ้งผ่าน Line ID: iCarevitaminshop

4. แจ้งผ่าน inbox ใน Facebook :
| เปิดร้าน | 8 ส.ค. 2556 |
| ร้านค้าอัพเดท | 1 ธ.ค. 2568 |