แคลเซียม คาร์บอเนต (Calcium Carbonate)

แคลเซียม เป็นแร่ธาตุที่พบมากที่สุดในทุกส่วนของร่างกายและเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ ของกระดูกและฟัน ร้อยละ 99 ของแคลเซียมในร่างกายเราอยู่ที่กระดูกและฟัน ที่เหลืออีกร้อยละ 1 พบได้ในเลือดและของเหลวอื่นๆ ในร่างกาย นอกจากกระดูกแล้วแคลเซียมยังจำเป็นสำหรับการแข็งตัวของเลือด การส่งสัญญาณประสาท การหดตัวของกล้ามเนื้อ และยังป้องกันโรคกระดูกพรุน หรือกระดูกแตกหักง่ายได้ อาหารที่อุดมด้วยแคลเซียม ได้แก่ นม นมพร่องมันเนย ผักใบเขียว ปลาและกระดูก ถั่ว น้ำส้ม ในวัยทองควรจะได้รับปริมาณแคลเซียม 1500 มก.ต่อวันแต่สำหรับผู้ที่ได้รับฮอร์โมนทดแทนปริมาณแคลเซียม 1000 มก.ต่อวันก็เพียงพอ ซึ่งแคลเซียมทดแทนที่นิยมใช้มากที่สุด คือ แคลเซียมคาร์บอเนต เพราะให้ปริมาณแคลเซียมสูงถึง 40% มากกว่าแคลเซียมในรูปแบบอื่นๆ และเป็นรูปแบบที่แพทย์นิยมแนะนำให้ใช้

จมูกถั่วเหลือง (Soy Germ)

จมูก ถั่วเหลือง มีสารอาหารจากธรรมชาติที่ช่วยเพิ่มอัตราการสร้างมวลกระดูกมากกว่าการสลายตัว คือ isoflavones ซึ่งเป็นสาร Phytoestrogen ที่มีสูตรโครงสร้างคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน จะช่วยเพิ่มมวลกระดูกให้แข็งแรง ป้องกันการสูญเสียเนื้อกระดูกในสตรีที่ฮอร์โมนเริ่มลดลงอายุ 30 ปีขึ้นไป โดยกระตุ้นการทำงานของ osteoblast ในการสร้างกระดูกและยับยั้งการทำงานของ osteoclast ในการสลายกระดูก นอกจากนี้ isoflavone ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมายได้แก่ ลดอาการในสตรีวัยหมดประจำเดือน ลดโอกาสเสี่ยงของการเกิดมะเร็งได้ นอกจากนี้ยังพบว่า isoflavone สามารถยับยั้งกระบวนการสร้างเส้นเลือดซึ่งเป็นขั้นตอนที่จำเป็นสำหรับการ เจริญเติบโตก้อนมะเร็ง

วิตามิน ดี3 (Vitamin D3)

วิตามิน ดี จะช่วยให้ลำไส้มีการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกายได้ดี ถึงแม้คนเราสามารถสังเคราะห์วิตามินดีได้จากแสงอาทิตย์ได้ แต่คนสูงอายุหรือผู้ที่อยู่แต่ในบ้าน หรือทำงานในห้องแอร์ทั้งวัน ทำให้ไม่สามารถสร้างวิตามินดีเองได้เพียงพอ  จึงควรรับประทานวิตามินดีเสริมเพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้อย่างมี ประสิทธิภาพมากขึ้น ใน 1 วันควรได้รับวิตามินดีอย่างน้อย 200-400 IU.

แมกนีเซียม (Magnesium)

แมกนีเซียม เป็นแร่ธาตุจำเป็นที่ทำงานร่วมกันกับแคลเซียมในการเสริมสร้างให้กระดูกแข็ง แรง และช่วยให้แคลเซียมดูดซึมได้ดี ถ้าร่างกายขาดแมกนีเซียมจะทำให้เป็นโรคกระดูกพรุนได้ อีกทั้งมีส่วนช่วยป้องกันไม่ให้แคลเซียมไปจับที่ไต

โบรอน (Boron Chelate)

โบรอน ช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังลดการขับออกของแคลเซียมทางปัสสาวะ

เกี่ยวกับโรคกระดูกพรุน

ปกติกระดูก ของคนเรามีการสร้างและการละลายอยู่ตลอดเวลา โดยในการทำงานของเซลล์กระดูก 2 ชนิด คือ เซลล์กระดูกทำหน้าที่สร้างกระดูกและนำแคลเซียมเข้ามาสะสมในกระดูก และเซลล์ที่ทำหน้าที่สลายกระดูกปลดปล่อยแคลเซียมจากกระดูกเข้าสู่กระแสโลหิต กระดูกจะใหญ่ขึ้นจนอายุ 30 ปี กระดูกเริ่มมีการละลายมากกว่าการสร้างทำให้กระดูกเริ่มจาง ร่างกายสูญเสียแคลเซี่ยมจากเนื้อกระดูกมากกว่าที่ได้รับเข้าไปสะสมในกระดูก ทำให้สูญเสียมวลกระดูกและกระดูกมีความหนาแน่นน้อยลง ในวัยทองระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนมีระดับลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้อัตราการละลายของกระดูกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว กระดูกที่พรุนจะสี่ยงต่อกระดูกหักโดยเฉพาะกระดูกสะโพกซึ่งจะมีผลต่อสุขภาพ

กระดูก จะแข็งแรงมากที่สุดอายุ 20-30 ปี ดังนั้นการเสริมสร้างกระดูกควรเริ่มตั้งแต่อายุ 30 ปีขึ้นไป ซึ่งมีสารอาหารและการปฎิบัติตัวหลายวิธีที่จะช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็ง แรงเพื่อป้องกันโรคกระดูกโปร่งบาง ได้แก่ แคลเซียม ซึ่งควรจะได้รับ 1000 มก.ต่อวันก็เพียงพอ โดยแคลเซียมที่นิยมใช้มากที่สุด คือ แคลเซียมคาร์บอเนต เพราะให้ปริมาณแคลเซียมสูงถึง 40%  วิตามินดีและแร่ธาตุต่างๆ จะช่วยให้ลำไส้มีการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกายได้ดี และช่วยเสริมสร้างเซลล์กระดูก ที่ขาดไม่ได้ก็คือ จมูกถั่วเหลือง มีสารอาหารที่ช่วยเพิ่มอัตราการสร้างมวลกระดูกมากกว่าการสลายตัวคือ  Isoflavones ซึ่งเป็นสาร Phytoestrogen ที่มีสูตรโครงสร้างคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน จะช่วยเพิ่มมวลกระดูกให้แข็งแรง ป้องกันการสูญเสียเนื้อกระดูกในสตรีที่ฮอร์โมนเริ่มลดลงอายุ 30 ปีขึ้นไป

ข้อควรทราบ